กระทรวงพาณิชย์ เตือน คนไทยเที่ยวญี่ปุ่น นำผลไม้เข้าญี่ปุ่น หากไม่มีใบรับรองสุขอนามัยพืช เจอคุก 3 ปี ปรับเงินอีกหลายแสน กระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า เนื่องด้วยญี่ปุ่นเตรียมเปิดฟรีวีซ่าในวันที่ 11 ต.ค. ที่ถึงนี้และอาจจะมีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปนั้น ทาง กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงญี่ปุ่น ประกาศแจ้งเตือนผู้ที่จะเดินทางมายังประเทศญี่ปุ่นที่จะนำพืช รวมถึง ผลไม้ ผัก เมล็ดธัญพืช ดอกไม้ เมล็ดพันธุ์ ต้นพันธุ์ และสินค้าแปรรูปที่มีวัตถุดิบจากพืชบางรายการ เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น จะต้องแสดงใบรับรองสุขอนามัยพืช ของหน่วยงานอารักขาพืชของประเทศต้นทาง
ในส่วนของประเทศไทย หากผู้เดินทางจะนำผักผลไม้เข้าประเทศญี่ปุ่นจะต้องขอใบรับรอบสุขอนามัยจากกรมวิชาการเกษตรก่อน
และต้องเข้ารับการตรวจสินค้าที่สนามบินขาเข้าของประเทศญี่ปุ่น หากฝ่าฝืน รับ การตรวจนำเข้า สินค้าจะถูกทำลายและมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 2.6 แสนบาท ทั้งนี้ผลไม้ไทยเกือบทุกประเภทถือเป็นสินค้าต้องห้าม ไม่สามารถนำเข้าสู่ญี่ปุ่นได้ ด้วยการบรรจุภายในกระเป๋าสัมภาระเดินทาง รวมถึงผลไม้ที่ญี่ปุ่นเปิดตลาดให้ไทยแล้ว เนื่องจากไม่เข้าข่ายตามเงื่อนไขสำหรับการส่งออก-นำเข้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่น
สำหรับพืชที่ถูกทำให้แห้งหรือแช่แข็งส่วนใหญ่จะได้รับการยกเว้น ไม่จำเป็นต้องมีใบรับรองสุขอนามัยพืช เนื่องจากไม่ได้มีวัตถุประสงค์ทางการเพาะปลูก แต่ยังต้องรับการตรวจสินค้าบริเวณด่านตรวจพืชญี่ปุ่น เช่น พริกป่น พริกไทยญี่ปุ่น เฟิร์นญี่ปุ่นแห้ง หัวไชเท้าญี่ปุ่นซอยแห้ง โสม เมล็ดบัว โป๊ยกั้ก เมล็ดกาแฟที่ไม่ผ่านการคั่ว เมล็ดทานตะวันสำหรับการบริโภค เป็นต้น นอกจากนี้ พืชที่ถูกทำให้แห้งบางชนิด ถูกกำหนดให้ต้องมีใบรับรองสุขอนามัยพืช เช่น เมล็ดธัญพืช ได้แก่ ข้าว, มิลเล็ต, ข้าวโพด, บัควีท, ข้าวสาลี, อื่นๆ) ,เมล็ดพืชตระกูลถั่ว ได้แก่ ถั่วเหลือง, ถั่วแดง, ถั่วลิสง, อื่นๆ, ไม้ เมล็ดโกโก้ มะขาม เมล็ดผักชี ดอกไม้แห้งบางส่วน สมุนไพร และเครื่องเทศ
ส่วนช่วงบ่าย พล.อ.ประยุทธ์ จะจะเดินทางต่อไป จ.อุบลราชธานี โดยเมื่อเดินทางถึงที่กองบิน 21 ต.ไร่น้อย อ.เมือง จ.อุบลราชธานี นายกฯจะรับฟังบรรยายสรุปการบริหารจัดการน้ำและสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ก่อนเดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์พักพิงผู้ประสบอุทกภัยและเยี่ยมเยียนบ้านเรือนประชาชนที่ชุมชนวัดวารินทราราม ต.วารินชำราบ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี จากนั้นนายกฯและคณะเดินทางกลับกรุงเทพฯ
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เน้นย้ำว่า ไม่ต้องมีป้าย ไม่ต้องเอาคนมาถือป้าย โดยระบุว่าตนไปทำงานเพื่อช่วยประชาชน ไม่ได้ไปสร้างภาระให้กับคนอื่น ไม่ต้องเรื่องมากกับผม เพราะตนสมบูรณ์แข็งแรง ดูแลตัวเองได้ ขอให้ไปดูแลประชาชนที่เดือดร้อนดีกว่า
‘ประยุทธ์’ ขอบคุณ ศบค. ร่วมรบโควิดมากกว่า 900 วัน ลั่น ‘เราชนะไปด้วยกัน’
ประยุทธ์ โพสต์ขอบคุณ ศบค. หลังร่วมรบกับโควิดมานานกว่า 900 วัน ชี้ท้ายที่สุด เราชนะไปด้วยกัน ทำสำเร็จตามที่เคยตั้งเป้าเอาไว้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ได้โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กขอบคุณ ศบค. ที่ทำหน้าที่มากกว่า 900 วัน ในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยืนยันภารกิจสำเร็จและเราชนะไปด้วยกันตามที่เคยลั่นวาจาไว้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ถึง เพื่อนข้าราชการทั่วประเทศ ผู้ปฏิบัติงานใน ศบค.ทุกระดับ ตลอดจนบุคลากรและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน เมื่อวันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565 เป็นวันสุดท้ายของการทำงานของ ศบค. ซึ่งได้ทำงานด้วยกันมา นับตั้งแต่ประเทศไทยเผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 เมื่อเดือนมีนาคม 2563 จนถึงวันนี้ นับเป็นเวลากว่า 2 ปีครึ่ง หรือ 900 กว่าวัน
ผมขอขอบคุณทุกท่าน และทุกหน่วยงาน ที่ได้ทำงานด้วยความเสียสละ ทุ่มเท เคียงบ่าเคียงไหล่กับผม รัฐบาล และทุกภาคส่วนของประเทศ โดยไม่ย่อท้อต่อความเหนื่อยยาก ใช้ความพยายามอย่างสูงสุด และทุกวิถีทาง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของเรา คือ “ประเทศชาติต้องปลอดเชื้อ ประชาชนต้องปลอดภัย”
แต่ด้วยความฉุกเฉินและรุนแรงของโรคอุบัติใหม่นี้ แม้เราทุกคนทราบดีว่าได้จะได้ใช้สติปัญญาและกำลังความสามารถอย่างที่สุดแล้ว ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความสูญเสียได้ ผมเอง และชาว ศบค.ทุกคน ล้วนรู้สึกเสียใจกับทุกการสูญเสีย จึงไม่เคยลดละความเพียร และทำอย่างดีที่สุด เพื่อดูแล “ครอบครัวใหญ่ของเรา” ที่มีสมาชิกเกือบ 70 ล้านคน ให้ปลอดภัยจากโรคระบาด อีกทั้งช่วยเหลือ เยียวยา และบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบต่างๆ ทั้งการใช้ชีวิตประจำวันและการทำมาหารายได้ ท่ามกลางวิกฤติสุขภาพร่วมกับวิกฤตเศรษฐกิจ ที่กระจายตัวไปทั่วโลก
ถือเป็นภารกิจที่หนักหน่วงอย่างที่สุดที่เราได้ร่วมกันฝ่าฟัน ร่วมหาทางออก และร่วมเอาชนะวิกฤติการณ์นี้จนได้ในที่สุด ทั้งนี้ การทำงานของ ศบค.นับเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดของความสำเร็จ ที่เกิดจากการทำงานอย่างบูรณาการกัน มีความประสานสอดคล้องกันในทุกระดับ และที่สำคัญที่สุด คือ ความมีเอกภาพเป็นหนึ่งเดียว ของทุกคนในชาติ จนประเทศไทยได้รับการยอมรับ ชื่นชม และได้รับเกียรติให้เป็นตัวอย่าง “ประเทศที่บริหารจัดการวิกฤตโควิดได้ดีที่สุด” ประเทศหนึ่งในโลก
ในนามรัฐบาล ผมขอขอบคุณและขอชื่นชม เพื่อนข้าราชการ บุคลากร เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน-ตำรวจ-ทหาร-อาสาสมัคร-อสม.-จิตอาสา ทุกคน ทุกระดับ และทุกภาคส่วน ที่ได้อุทิศตน ทุ่มเท เสียสละ และอดทน ทำงานเสี่ยงภัยด้วยสำนึกในหน้าที่ สำนึกเพื่อส่วนรวม ดูแลให้บริการพี่น้องประชาชน ตลอดจนปลุกพลังให้ทุกคนร่วมกันต่อสู้มหาวิกฤตนี้ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีว่า…
แนะนำ : รีวิวเครื่องใช้ไฟฟ้า | รีวิวอาหารญี่ปุ่น| รีวิวที่เที่ยว | ดาราเอวี